เทศน์พระ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เอานะฟังนะ ฟังธรรม วันนี้วันอุโบสถนะ เราลงอุโบสถเหมือนทางโลกเขาสัมมนากัน เขาสัมมนากันเพื่อความบริสุทธิ์ของเขา เขาสัมมนากันเพื่อวิชาการของเขา เพื่อรักษาองค์กรของเขา
เราสัมมนา เห็นไหม เราลงอุโบสถ อุโบสถ - อุโบสถศีล อุโบสถศีลเพื่อความสะอาดของเราไง พิสูจน์ที่ศีล ถ้าศีลจากภายนอก ถ้าศีลจากภายในเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์กับภิกษุนะ ท่านไม่พูดเรื่องทาน เพราะทานนี้มันเป็นเรื่องของญาติโยมเขา
ของเราเริ่มจากศีลเลย อุโบสถศีล การรักษาศีลอุโบสถ เขาจะได้บุญของเขา ศีล ๘ ก็เป็นศีล ๘ ของคฤหัสถ์เขานะ แต่ถ้าศีลอุโบสถล่ะ ถ้าศีลอุโบสถเห็นไหม ช้างอุโบสถ ผู้ที่อุโบสถสิ่งนี้มันทำให้มีหลักใจไง สถานะที่ตั้งของใจ ถ้ามีหลักใจของเราเห็นไหม นี่เราลงอุโบสถเหมือนกัน เราลงอุโบสถของเราก็เพื่อความสะอาดของเรา
ถ้าภาชนะของเรา เราจะมีอาหารที่ดีขนาดไหน จะมีคุณสมบัติดีขนาดไหนสิ่งที่ใส่นั้นมันสกปรก มันก็สกปรกไป แต่ถ้าศีลของเราบริสุทธิ์เห็นไหม ถ้าทำความสงบของใจเข้ามามันจะเป็นสัมมา สัมมาสมาธิเกิดจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดศีลสมาธิที่ดีเห็นไหมปัญญาจะเกิดย้อนกลับเข้ามาข้างใน ถ้าเกิดสมาธิขึ้นมาเห็นไหม มันมิจฉาสมาธิ ดูสิ ดูพวกฤๅษีชีไพรของเขา เขาก็ถือศีลของเขาเหมือนกัน แต่ศีลของเขา เขาก็เจตนาของเขา ละเว้นของเขา สัจจะของเขา ฤๅษีเขาถือสัจจะกัน แต่ของเรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่วางศีลไว้แล้ว
วางศีลเห็นไหม ศีล ๒๒๗ ข้อ ศีลต่างๆ นี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นเครื่องบอกไงว่าถ้าผิดจากนี้ไปออกจากกรอบนี้ไป มันเป็นการละเมิด ละเมิดตัวเองนะไม่ใช่ละเมิดใครเลย ละเมิดตัวเอง ถ้าเราละเมิดตัวเองเห็นไหม มันพุ่งออกไป
ดูสิ อย่างที่ว่าผู้ที่ทำอาบัติหนัก ผู้ที่ทำอาบัติจะทำความสงบของใจได้ยาก เป็นอาบัติหนักเพราะอะไร? เพราะมันละเมิดตัวเองไง เพราะเราทำเอง เราทำผิดพลาดเองเหมือนคนไข้ ถ้าโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรง เวลาไปโรงพยาบาลเขาต้องผ่าตัด แต่ถ้าเราเป็นโรคเล็กน้อย หรือเราเป็นไข้ หรือเรามีบาดแผลขึ้นมา เรารักษาของเราเองก็ได้ รักษาของเราเองใส่แผลของเราเองก็ได้
ละเมิดกับตัวเองคือทำลายตัวเองนะ แต่เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ถ้าความผิดพลาดออกไป ความผิดพลาดนี่จากกิเลส จากกรรม จากกรรมคือจากการกระทำที่ไม่มีเจตนาไง สิ่งที่ไม่มีเจตนานะ ดูสิ ดูอย่างพระอรหันต์เห็นไหม สติวินัย ผู้ที่มีสติวินัย แต่ความผิด การกระทำของกรรม ดูอย่าง พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายด้วย ทำไมต้องโดนโจรมาทุบล่ะ นี่เป็นเรื่องของกรรม
สิ่งที่เป็นกรรม สิ่งที่เป็นสติวินัยแล้ว สิ่งนี้ยกเว้น ยกเว้นเพราะอะไร เพราะเวลาสวดอุโบสถเห็นไหม สมฺมุขาวินโย สติวินโย อมูฬฺหวินโย สิ่งที่ได้ตัดสินแล้ว ใครเป็นคนรื้อฟื้นขึ้นมา จะเป็นอาบัติปาจิตตีย์
แต่สมัยพุทธกาล การจะได้รับรองเป็นสติวินัย ต้องมีการสวดประกาศไง แต่ในปัจจุบันนี้มันก็สวดประกาศโดยการเป็นไปของใจ ถ้าใจสิ่งนั้นเป็นไปเห็นไหม ดูสิ ดูเวลาเราประพฤติปฏิบัติ สันทิฏฐิโก เกิดมาจากใจ ใครจะรู้กับเรา
สิ่งที่รู้จากใจผู้ที่ปฏิบัติ เห็นไหม รู้มาจากไหน สิ่งนั้นจะเป็นการเริ่มจากภายใน อันนี้เป็นเรื่องของศีลนะ เราลงอุโบสถกันเพื่อสังคมสงฆ์ สงฆ์เรานี่นะถ้าเสมอกันด้วยทิฏฐิ เสมอกันด้วยความเห็น จะเป็นอยู่สุขสบายมาก
ความอยู่สุขสบายเหมือนของที่เขาผสมกันอยู่ในภาชนะเดียวกัน มันไม่มีปฏิกิริยาทำลายกัน ดูสิ ของหมักของดอง มันมีปฏิกิริยาทำลายกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องของศีลเห็นไหม ผิดอาบัติเราก็ปลงอาบัติ เราก็ทำให้ปกติขึ้นมาในหัวใจของเรา อันนี้เป็นเรื่องของอุโบสถเรื่องของศีลนะ
ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ ศีลและธรรม ธรรมนี้กว้างขวางมาก เราพยายามประพฤติปฏิบัติกันเพื่ออะไรเห็นไหม ดูสิ เห็นไหมฝนตกชั่วครั้งชั่วคราว หมดไปละ อากาศมันแปรปรวนตลอดไป ผู้ที่มีธรรมในหัวใจนะ เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้กับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเราเหมือนกัน มันเล็กน้อยมาก มันสั้นมาก
ความเปลี่ยนแปลงของอากาศ ดูสิ ฝนตกแดดออก มันแปรสภาพของมันตลอดเวลา ชีวิตนี้เปรียบเหมือนพยับแดดไง โอกาสของเรามีเท่าไหร่ ดูอายุคนสิว่า ๖๐ ปี ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี นานมาก นานมาก แต่แป๊บเดียวเอง
๑๐ ปี ๒๐ ปี วันหนึ่งเห็นไหม ผู้ที่ใจเป็นธรรม มีราตรีเดียว ราตรีเดียววันคืนมันล่วงไปๆ ไม่ได้นับหรอก มันเป็นธรรมชาติของมัน ไม่มีการสืบต่อ ไม่มีสถิติ ไม่มีการทบ ไม่มีการนับไง ไม่มีการรวบรวมไง
วันคืนล่วงไปๆ อย่างนี้มันน่าย้อนกลับมาที่ใจของเรา ให้เราขวนขวายไง อย่านอนใจ ถ้าเรานอนใจนะ เช่น ปกติเราสร้างวัดกัน วัดใหม่ รอให้วัดเสร็จแล้วเราค่อยประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม รอวัดเสร็จ แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ
ถ้าหัวหน้ามีหลักมีเกณฑ์มันจะจบได้ มันจะเสร็จนะ ถ้าหัวหน้าไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มีวันเสร็จหรอกเพราะอะไร? เพราะหมาขี้เรื้อน ถ้าใจมันขี้เรื้อนนะมันต่อเติมตลอดไป มันคันตลอดไป มันหยุดไม่ได้เห็นไหม
ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาเริ่มต้นใหม่ๆ ก็ทำเพื่อการแก้รำคาญ มันมีความรำคาญเราก็อยากทำโน่นสะสมนั่นทำนี่แก้ไขนั่น เห็นไหม พอเสร็จแล้ว พอทำไปไม่ทำกลับรำคาญ เพราะอะไร เพราะมันเคยชิน
ถ้าหัวหน้าขี้เรื้อน มันไม่มีวันจบหรอก ถ้าเราจะคิดว่าสร้างวัดนะ นกมันต้องมีรวงรัง เราสร้างรวงรังเสร็จแล้ว เราก็จะประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าขี้เรื้อนมาสร้าง ไม่จบหรอก ถ้าไม่ขี้เรื้อนมันจบนะ
ถ้ามันจบเห็นไหม สิ่งนอกจบข้างในมันจบไหม? ถ้าข้างในมันจบไหม ดูสิ เวลาเราเข้าทางจงกรม ตรงนั้นก็ไม่สมบูรณ์ ตรงนี้ก็ไม่สมบูรณ์ เราขี้เรื้อนแล้วนะ ใจเราขี้เรื้อนแล้ว ถ้าใจเราขี้เรื้อนแล้วนะ มันจะติไปหมดเลย มันจะอ้างไง อ้างเพื่อเราจะไม่เข้าทางจงกรมเลย เราจะไม่นั่งสมาธิภาวนาเลยนะ
งานของเราอย่าลืม เวลาบวชขึ้นมาเห็นไหม อุปัชฌาย์บอกแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กรรมฐาน รุกขมูลเสนาสนัง พูดถึงธรรมเกิดที่นี่นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมเกิดที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์นะ นี่ธรรมจะเกิดกับเรา ก็เกิดจากใจของเรา
ดูสิ เวลาเราทำความสงบของใจเราเข้ามา เราจะไปรู้เห็นสิ่งต่างๆ สิ่งนี้สำคัญมาก เวลาเราศึกษากัน เราเปิดตู้พระไตรปิฎกนะ เราต้องศึกษาตำราต้องมีวิชาการเราถึงศึกษาตำราได้ ศึกษานวโกวาท ศึกษานักธรรม ก็ไปท่องจำ สิ่งนี้คือการท่องจำ ท่องแล้วเราประพฤติปฏิบัติมานะ เวลาผู้ที่ประพฤติผู้ที่ศึกษามา เห็นไหม มาถามครูบาอาจารย์ของเรา ผมเข้าใจหมดเลย พระไตรปิฎกผมเข้าใจหมดเลย แล้วจะให้ผมเริ่มต้นตรงไหน ปฏิบัติอย่างไร อันนี้เราศึกษามา ศึกษามาให้เรารู้ทางวิชาการ สุตมยปัญญา แล้วเวลาทำความสงบเข้ามาของใจ เราเปิดตู้พระไตรปิฎกในหัวใจของเรานะ ธรรมเกิดที่ใจๆ เวลาความสัมผัสของใจ จิตสงบเข้ามันสงบเข้ามาอย่างไร? มันปล่อยวางอะไรเข้ามาบ้าง? เวลามันฟุ้งซ่านมันฟุ้งซ่านอย่างไร? แล้วเรามีสติเข้าไปควบคุมอย่างไร? ถ้ามีสตินะ
ถ้ามีสติความประพฤติปฏิบัติของเราจะมีประโยชน์ตลอด ดูช่างเขาทำงานสิ ถ้าเขาพลั้งเผลอ ผลงานของเขาต้องเสียหาย เขาก็ต้องซ่อมต้องแซมของเขา เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันไม่สมบูรณ์ เพราะอะไร เพราะขาดสติ เพราะมันคือความพลั้งเผลอของเขา
แม้แต่การทำงานจากภายนอก เขายังต้องการสติเลย ต้องการความรอบคอบขึ้นมาเลย เพื่อให้งานมันสมบูรณ์ขึ้นมา เพื่อที่จะไม่ให้งานเสียหายเห็นไหม แล้วงานฝึกหัวใจของเรามันสำคัญกว่านั้นเห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันมีสติ มันมีมหาสติ
ถ้ามีสติขึ้นมา สมควรขึ้นมา มีสติขึ้นมามันจะระงับความฟุ้งซ่านของเรา ให้จิตมันสงบเข้ามา ปกติเห็นไหมเราว่าเราถือศีลๆ ศีลคือความปกติของใจ แล้วเราก็ไม่เข้าใจว่ามันคือความปกติของใจได้อย่างไร แต่เวลาเราทำความสมาธิขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้ามาเห็นไหมมันเทียบได้ไงระหว่างความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านเพราะอะไร? เพราะมันละเมิดตัวเอง ละเมิดด้วยมโนกรรม มโนกรรมไม่เป็นอาบัติเพราะอะไร? เพราะมันไม่มีการกระทำ มันไม่มีวจีกรรม เห็นไหม พูดปดหรือใช้ร่างกายนี้ไปลักของเขาไปทำสิ่งต่างๆ อาบัติเกิดจากการกระทำ ระหว่างวจีกรรม กายกรรม มโนกรรมเป็นอาบัติไหม? มันไม่เป็นอาบัติ แต่มันเป็นกรรมเห็นไหม แต่ถ้ามีศีลมันเข้ามา มันจะเห็นเห็นมันเป็นปกติเห็นไหม เพราะอะไร? เพราะสติเข้ามายับยั้งได้
ถ้าจิตสงบเข้ามามันจะเห็นความต่างว่าความผิดปกติกับความปกติของใจมันต่างกันอย่างไร ถ้าความปกติของใจมันเข้ามา จิตมันปกติเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามามีความราบรื่นเข้ามา
ถ้าไม่มีความสงบของใจนะ เราฟุ้งซ่านแล้วเราเริ่มต้นทำงานไม่ได้ ช่างเขาจะมาทำงานของเขา เขาต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือของเขา เขาต้องมีที่ทำงานของเขา เขาถึงทำงานของเขาได้
ถ้าสถานที่ไหน สถานที่นั้นยังทำงานไม่ได้ เขาจะต้องปรับพื้นที่ก่อน เขาต้องเตรียมถางพื้นที่ก่อน เขาต้องเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดเลย แล้วเราว่าเราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นคนที่เห็นคุณค่าของธรรม เห็นคุณค่านะ ถ้าไม่เห็นคุณค่าเราจะบวชมาทำไม?
ทำไมโลกเขาใช้ชีวิตโดยความปกติสุขของเขา ทำไมเขาอยู่กันได้ล่ะ ทำไมเราสละโลกมาเพื่อจะมาบวชของเรา เราสละโลกมาเพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นมันคือการเกิด เกิดด้วยบุญกุศลแล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แล้วพบพระพุทธศาสนา ในศาสนาในการกระทำของเราเห็นไหม
ในศาสนา ดูสิ เขาทำทานกัน ดูสิ ดูชาวพุทธเรา ถ้าศาสนาอยู่ที่ทะเบียน เขาจะไม่รู้อะไรเลย เหมือนสัตว์ตัวหนึ่งนะ เวลาเรายกย่องกันเองนะว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐๆ เราเกิดมามนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เรามีปัญญามาก เราจะทำอะไรก็ได้ กฎหมายก็คุ้มครองเรา กฎหมายคุ้มครองเราด้วย แล้วเรายังทำอะไร ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมามีโอกาสมาก เราจะทำอะไรเป็นประโยชน์กับเราทั้งหมดเลย เราไปตื่นกันอย่างนั้นนะ ว่ามีโอกาสๆ โอกาสอย่างนั้นคือโอกาสของโลกๆ โอกาสของวัตถุมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา
โรงงานอุตสาหกรรมเวลาเขาผลิตออกมาเป็นโกดังๆ เลย แล้วเขาผลิตมาเพื่ออะไร เขาผลิตมาเพื่อขาย เขาผลิตมาเพื่อประโยชน์ของเขา แล้วเราไปตื่นกับสิ่งที่เขาผลิตออกมาเป็นสินค้า เป็นเศษเดน เศษเดนเพราะอะไร? เพราะเขาเอามาเพื่อล่อเรา ล่อคนใช้เห็นไหม เพราะถ้าไม่มีคนไม่มีตลาด สินค้านั้นจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา
คนที่เขาจะทำการต่างๆ เขาต้องหาตลาดก่อน ถ้าเขาหาตลาดไม่ได้ เขาจะไม่ผลิตสินค้าหรอก เขาต้องทำวิจัยตลาด เขาต้องสร้างกลไก เขาต้องหาวัตถุดิบของเขาขึ้นมาเพื่อสร้างโรงงานนั้นขึ้นมาผลิตของสิ่งนั้นขึ้นมา ผลิตขึ้นมาก็เพื่อขาย เพื่อผลประโยชน์ของเขา
ถ้าพูดถึงเรื่องธรรม มันคือสภาวะแบบนี้นะ แต่เรื่องของโลกเป็นความเจริญของโลก โลกต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าเราเป็นมนุษย์แล้ว มนุษย์โดยชาวพุทธ จะคิดอย่างนั้นหรือ
ชีวิตของโลกเขาเป็นอย่างนั้นเห็นไหม เราสละมานะ เราสละโลกมาแล้ว เราจะไม่ติดโลก สิ่งที่อาศัยไปก็อาศัยเพื่อดำรงชีวิต ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ใช้อาศัยมัน แต่เราไม่ติดโลกหรอก โลกเป็นโลก แต่ถ้าเราเข้าใจมัน เราก็ใช้มันประสาโลกเห็นไหม นี่คือเรื่องของโลก
แต่เรามาเป็นศากยบุตร เราเป็นธรรม เราเป็นนักรบ ถ้านักรบเห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราย้อนเข้ามาที่นี่ ย้อนมาที่งานของเรา ถ้าย้อนมาที่งานของเรา เราจะมีความรื่นเริง มีความองอาจกล้าหาญ เดินเข้าไปในทางจงกรมได้
ครูบาอาจารย์ท่านบอกนะ ทางจงกรมเอาไว้ให้เสือเดิน เอาให้เป็นทางให้เสือมันหมอบไว้ไง ให้มันไปหากินของมัน แล้วเราไปทำอะไร เราก็นอนไปตามสบายของเราเห็นไหม งานอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมานะ
ถ้ามีการกระทำของเราขึ้นมา มันมีความเพียรชอบ มีงานชอบ ถ้าไม่มีงานชอบ ผลมันจะเกิดมาจากไหนล่ะ เห็นไหม ตู้พระไตรปิฎกไง ถ้าเราเปิดมาจากที่นี่เราเรียนพระไตรปิฎกจากหัวใจของเรา เวลาธรรมมันเกิดขึ้นมา จิตมันเกิดขึ้นมา ถ้าจิตคนที่มันมีอำนาจวาสนาเห็นไหม ธรรมมันจะเกิด สภาวธรรมมันจะเกิด เห็นไหม หลวงปู่มั่น ท่านบอกครูบาอาจารย์เห็นไหม เพราะว่าในฝ่ายการศึกษาของเขา เขาจะบอกเลยว่า ถ้าเราปลีกแยกออกไปจากวิชาการ เราจะประพฤติปฏิบัติไปไม่ได้
แล้วเวลาเราไปอยู่ในป่าในเขากัน ไปประพฤติปฏิบัติกัน เราจะไปศึกษามาจากใครเห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่า ข้าพระองค์ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาเลย ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาเลยเห็นไหม เพราะอะไร เพราะศึกษาธรรมอยู่ตลอดเวลาเลย เพราะอะไร เพราะเปิดใจได้ไง
ถ้าเปิดตู้พระไตรปิฎกได้ ถ้าเราทำความสงบของใจเราได้ ถ้าเรายกขึ้นวิปัสสนาได้เห็นไหม เราจะเปิดตู้พระไตรปิฎกของเราเอง ถ้าเราเปิดตู้พระไตรปิฎกมันจะมีปัญหาร้อยแปดเลยนะ คนที่ภาวนาขึ้นมามันจะมีปัญหา มันจะมีงานทำอยู่ตลอดเวลา
เวลาเดินจงกรม ถ้าเดินในทางจงกรม ๒๔ ชั่วโมง ๗ วัน ๘ วันเป็นเดือนเป็นปี ถ้าเขาทำอยู่ได้แสดงว่ามีงานทำ คนมีงานทำดูสิ เวลาคนเขาตกงาน เขาบอกว่าเขาไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา เขาตกงาน เขาทุกข์เขายากนะ เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีสิ่งตอบสนอง เขาจะเลี้ยงชีพของเขาได้อย่างไรเพราะเขาตกงาน
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีงานของเรา เราทำงานของเราไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเรายกใจของเราขึ้นไม่ได้ไง เราเปิดตู้พระไตรปิฎกไม่ได้ ถ้าเราจะศึกษาพระไตรปิฎกเห็นไหม สุตมยปัญญา เขาเรียนกันเขายังมีตำรากันเลย เขาต้องเปิดตำรา เขาต้องดูหนังสือ แล้วท่องจำกัน แล้วก็ไปสอบกัน ท่องจำกันมาให้เข้ากับกรอบอันนั้นมันถึงจะได้คะแนนของเขา
แล้วเราจะเปิดตู้พระไตรปิฎกของเรา ถ้าเราจะศึกษาของเรา ธรรมะเกิด ธรรมะเกิดนะตู้พระไตรปิฎกของเรา ตู้พระไตรปิฎก ฟังสิว่าตู้พระไตรปิฎกของเรา แต่ธรรมของเราล่ะ ตู้พระไตรปิฎกคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สภาวธรรมเกิดจากใจ ความสงบมันก็เกิดมาจากใจ พอจิตมันสงบขึ้นมามันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข
เวลามันฟุ้งซ่านนั่นคือสมบัติของเรา สมบัติของกิเลสไง กิเลสทำให้ฟุ้งซ่าน กิเลสทำให้มีความทุกข์ กิเลสทำให้เราทุกข์มาก เราจะมีความทุกข์กันเห็นไหม ที่เราทุกข์กันน้ำตาคลอเห็นไหม ทุกข์ยากกันเพราะอะไร เพราะกิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจไง
ถ้ามีความสงบของใจเข้ามายับยั้งไว้ หินทับหญ้าไว้ๆ เห็นไหม แล้วธรรมมันเกิด เกิดโดยส้มหล่น เวลามันเกิดขึ้นมา สภาวธรรมมันเกิดขึ้นมา เป็นภาษาบาลีก็ได้ เป็นภาษาไทยก็ได้ เห็นเป็นนิมิตก็ได้ เห็นสภาวะแบบนั้น ถ้าเห็นแบบนั้นเรารับรู้ไว้เห็นไหม สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจัง สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เห็นภาพสภาวะเป็นสิ่งที่ดีเป็นนิมิตที่ดี กล้าบอกมั่นหมายว่าดี ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยเห็นไหม ท่านเจอปะขาว ปะขาวนับเคาะนิ้วเลย ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ปีที่ ๙ จะสำเร็จนะ พอถึงปีที่ ๙ จะสำเร็จ ก็มุ่งหมายไปพยายามทำไป นิมิตหมายที่ดี
แล้วนิมิตหมายที่ไม่ดีล่ะ เห็นไหมเราปฏิบัติไปแล้วมีปัญหา เวลาปฏิบัติไปมีปัญหาสิ่งต่างๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นมาโดยตลอด มันเป็นอดีตไปแล้ว ในปัจจุบันเราแก้ไขได้ไหม เราแก้ไขสิ่งนี้ได้ เรารับรู้แล้วเราวางไว้ไง เราไม่เอาแค่สิ่งที่เราไปเห็นข้อมูลอย่างนี้มาทำให้ชีวิตเราเบี่ยงเบนไปโดยกิเลสมันหลอกก็ได้
ถ้าเป็นการชี้นำ เวลาธรรมเกิดๆ ธรรมชี้นำว่าเราจะทำไปแล้วจะได้ประโยชน์ขึ้นมา ถ้าปฏิบัติไปปีนั้นมันจะมีความสงบเข้ามา จะเป็นปัญหาเข้ามา แล้วถ้าเราไม่ทำจะได้ไหมล่ะ? ถ้าเราไม่ทำมันก็ไม่เกิดอีกล่ะ? ถ้าเราทำขึ้นมามันก็จะเกิดสภาวะแบบนั้นเห็นไหม
สิ่งบอกเหตุ สิ่งที่เป็นการฟังธรรม แต่ธรรมของเราล่ะ ธรรมของเราฟังธรรมแล้วรับรู้แล้วก็ปล่อยไว้ แล้วเราก็ศึกษาของเรา ศึกษาคือเปิดตู้พระไตรปิฎกของเรา ยกขึ้นวิปัสสนาไปให้ได้ วิปัสสนาได้ถ้ามีกำลังไปได้ พอบอกให้สิ่งใดหลุดไปสิ่งใดเป็นไป มันก็จะเป็นสภาวะแบบนั้น
ถ้าเป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม ธรรมของเราจะเกิดตรงนี้ไง ผล ธรรมของเราจะเกิดเพราะอะไร เพราะวิปัสสนาไปแล้วมันจะมีผลตอบรับ อาหารเข้าปากแล้วมันต้องมีการอิ่มท้อง เพราะอะไร เพราะอาหารมันเข้าปากไปแล้ว มันเป็นสารอาหาร
นี่ก็เหมือนกันที่ว่าตู้พระไตรปิฎกไม่ใช่ธรรมของเรา เพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาหารใส่ปาก ฟังสิ ฟังคำว่าอาหารใส่ปากมันเป็นอาหารใช่ไหม แล้วเวลาอิ่มท้องความรู้สึกเป็นของใคร เป็นของเราใช่ไหม
ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ธรรมเกิดๆ มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมของเรา เพราะมันเป็นสภาวธรรม สภาวะเป็นธรรมอยู่แล้วเห็นไหม แต่เราไปเห็นเข้ารู้เข้า แล้วความสุขความทุกข์เห็นไหม เห็นความดีเข้ามามันก็ตื่นเต้นก็สุขใจ ถ้าเห็นความทุกข์มันก็เดือดร้อนใจ ใจเดือดร้อนเห็นไหม เหมือนกับกินสารอาหารที่เป็นพิษ ถ้าสารอาหารเป็นพิษ กระเพาะอาหารก็ต้องโดนพิษเข้าไปทำลาย
นี่ก็เหมือนกันสิ่งที่คิดดีคิดชั่ว เห็นไหม ในสภาวธรรมมันคือ สภาวะที่พยายามจะก้าวเดินไปตามธรรมของเรา เราทำต่อไปแยกแยะเข้าไป เหมือนพ่อครัว พ่อครัวที่ฉลาดจะแยกแยะสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เห็นไหม
อาหารดูสิ ดูอย่างไก่ เขายังต้องเลาะกระดูกออก ไม่มีใครเขากินไก่ทั้งตัวนะ เว้นแต่สัตว์เห็นไหม จระเข้มันกินไก่ทั้งตัวเลย นั่นมันเป็นสัตว์แล้วเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนที่มีปัญญาขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกันเวลาสิ่งที่มันเป็นพิษมันเป็นภัย เป็นเรื่องกิเลส เราก็แยกแยะไป เราก็ทำลายของเราไป เราก็แบ่งแยกไปเห็นไหม แบ่งแยกสะสางวิปัสสนาเข้าไป สิ่งใดถ้ามันไปเจอกระดูก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกิเลสมันจะคา วิปัสสนาไปไม่ได้ มันคาไง มันคาเราก็ปล่อย ปล่อยกลับมาที่พุทโธๆ เห็นไหมเพิ่มพลังงาน เหมือนไปเอามีดมาเลาะกระดูกออก
นี่ก็เหมือนกัน เรากลับไปที่พุทโธ พุทโธทำจิตให้มันเข้มแข็งขึ้นมา กลับไปที่พุทโธเพิ่มพลังงานขึ้นมา พลังงานมันก็เข้มแข็งขึ้นมา เรากลับไปลับมีด มีดกลับมามันคมแล้วเราก็มาเลาะ เลาะอันนี้เป็นกระดูกอันนี้เป็นเนื้อ ถ้ากระดูกก็ทิ้งไปแล้วเอาเนื้อเป็นอาหาร
สัพเพ ธัมมา อนัตตา อาหาร สภาวธรรม สภาวธรรมที่เกิดดับ สภาวธรรมเกิดมาจากไหน เกิดมาจากใจ มันเป็นธรรมหรือยัง มันไม่เป็นธรรมนะ มันเป็นโลกียธรรม มันยังไม่เป็นโลกุตรธรรม
ถ้าโลกุตรธรรม วิปัสสนามันจะปล่อยไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดเห็นไหม มันจะขาดของมัน ขาดของมันนะ ถ้าขาดของมันเป็นเหตุเป็นผลของมัน ผลคือการกระทำของใจดวงนี้ เห็นไหม เปิดตู้พระไตรปิฎก เปิดตู้ของธรรม มันเกิดมาจากไหนๆ มันเกิดมาจากใจทั้งนั้นนะ มันเป็นกิริยาของใจ มันเป็นผลของมรรค
มรรคเกิดมาที่ใจ มรรคเกิดมาจากการกระทำของเรา อย่าไปตื่นเต้นกับโลก โลกจะพูดอย่างไรเป็นเรื่องของเขา คนตาบอด โลกตาบอด มันต้องเอาวิชาการมาแผ่มากางกัน ต้องเป็นอย่างนี้..เป็นอย่างนี้.. แล้วทำไมต้องเป็นแบบเขาล่ะ วิชาการเขาเป็นแบบวิชาการของเขา เขาก็เปิดมาเพื่อเอามาโต้แย้งกัน
แต่ความเห็นของเราเกิดมาจากใจของเรา ถ้าเกิดมาจากใจของเราก็เป็นผลงานของเรา มันเป็นความสุขความทุกข์ของเรา ความสุขความทุกข์นะ มันไม่ใช่ความจริง ถ้ามันเป็นความจริง ความสุขความทุกข์มันปล่อยวางเข้ามาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้าเห็นไหม ถ้าเป็นความจริง มันพ้นออกไป กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกายจิตเป็นจิต ฟังสิจิตเป็นจิต จิตไม่ใช่เราหรือ จิตเป็นจิต กายเป็นกาย ทุกข์เป็นทุกข์เห็นไหม แล้วความรู้มันจะรวมลง พั้บ!ไปเลย
จิตเป็นจิต เพราะจิตกับกายแยกออกจากกัน มันแยกออกจากกันโดยสัจจะความจริงของมัน ถ้าเราแยกของเราออกไปบ่อยครั้งๆ เข้า แต่ถ้ามันแยกออก กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แต่มันไม่ปล่อย มันไม่ปล่อยมันก็เป็นการชั่วคราว เป็นการฝึกงาน
การฝึกงาน การทำซ้ำนะ วิทยาศาสตร์เขาต้องฝึกซ้ำทำซ้ำจนแน่ใจของเขา นักวิชาการเห็นไหม ดูอย่างหมอเฉพาะโรค เขาผ่าตัดบ่อยครั้งเข้าๆ เขาทำทุกวันเลยวันหนึ่ง ๔-๕ รายจนมีความชำนาญของเขา ความชำนาญของหมอหนึ่ง แล้วคนไข้ด้วย คนไข้แข็งแรงไหม คนไข้อ่อนแอไหม คนไข้ใจเข้มแข็ง เขาก็รักษาของเขาได้ไม่ถึงกับช็อกเห็นไหม ผลงานมันจะสำเร็จตลอดไป
การปล่อยวางๆๆ ปล่องวางไว้เฉยๆ ปล่อยวางแล้วไม่ได้ผล เราก็ค่อยๆ ทำใหม่ เราทำใหม่เราทำซ้ำ เราพิจารณาซ้ำต่อไป แล้วทำแล้วถ้ามันไม่ได้ผล ก็กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ลับมีด หมอถ้าเครื่องมือแพทย์เขาไม่ได้ทำการฆ่าเชื้อ แล้วเขาเอาไปผ่าตัด ถ้ามันติดเชื้อขึ้นมานะมันลุกลามนะ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราวิปัสสนาไป พอมันเป็นไปสภาวะแบบนั้น กิเลสมันชักนำมันหลอกไปได้นะ มันหลอกไปทางหนึ่งๆ เราก็เป็นไปกับเขาชั่วคราว เพราะการประพฤติปฏิบัติวิปัสสนาไปที่ว่าจะไม่มีพลาดเลย ไม่มี
จำไว้เลยคนที่ภาวนาแล้วไม่มีความผิดพลาด อย่าไปเชื่อ มีทั้งนั้น แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังผิดพลาดเลย ความผิดพลาดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีศึกษามาขนาดไหนก็ยังผิดพลาด
ถ้าความผิดพลาดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีผิดพลาดมาขนาดนั้นแล้ว แล้วย้อนกลับมาๆ ถึงที่สุดแล้ว เพราะบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ไม่ตัดสินใจสิ่งต่างๆ ถ้าไม่มีเหตุมีผลเห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราวิปัสสนาไปแล้วมันไม่เป็นไปตามความจริงของเรา คือว่ามันไม่เป็นสันทิฏฐิโก คือว่ามันไม่มีการยืนยันกับใจนะ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องมีใครการันตี ไม่ต้องมีใครมาบอกเลย มันจะเกิดขึ้นเองเห็นไหม
แม้แต่ครูบาอาจารย์ก็ไม่ต้องการันตี มันเกิดจากใจของเราก่อนไง ไม่ลังเลสงสัยสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เป็นอย่างนี้นี่เอง นี่ใช่ ถ้าใช่อย่างนี้นะมันจะเข้าใจของมัน แล้วอธิบายได้หมดด้วยในกระบวนการของเราเห็นไหม
ดูสิ ดูอย่างพ่อครัว พ่อครัวที่เขาเป็นพ่อครัวชำนาญการมาก จะทำอาหารที่ไหนก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วสามารถดัดแปลงได้ด้วย สามารถดัดแปลงวัตถุดิบ สามารถที่จะดัดแปลงสิ่งที่จะเป็นอาหารให้เป็นอาหารที่กลมกล่อมขึ้นมาก็ได้
นี่ก็เหมือนถ้าเราเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสภาวะความจริงของมัน ไม่มีกิเลสสิ่งใดจะเข้ามาตอแยกับอันนี้ได้เลย ในกิเลสขั้นนั้นนะ ในการวิปัสสนา กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันจะเข้าใจสัจจะความจริงของเขา จะไม่ตื่นเต้นไปกับโลกเลย จะไม่ตื่นเต้น ไม่มีใครสามารถดึงใจดวงนี้ให้เสื่อมคลายออกไปให้ตามกระแสโลกได้อีกแล้วเพราะอะไร เพราะมันถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยสัจจะความเป็นจริงไง พระโสดาบันจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะยุแหย่ขนาดไหนเป็นไปไม่ได้ ฆ่าฉันทิ้งดีกว่าฆ่าให้ตายดีกว่า จะทำผิดวินัยเป็นไปไม่ได้
นั่นสัจจะความจริงอย่างนี้ที่เกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้เป็นความจริงของเรา ความจริงของเราเกิดขึ้นมาจากไหน เกิดขึ้นมาจากการเปิดตู้พระไตรปิฎกไง ชีวิตของเรามีคุณค่ามาก เพราะอะไร เพราะเราสละชีวิตจากทางโลกมาแล้ว
ดูสิ ดูเขาอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมา เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ เราบิณฑบาต สะพายบาตรออกไป มีคนใส่บาตรแน่นอนเพราะอะไร เพราะชาวพุทธไง เราอยู่ในกระแสสังคมที่เจริญมาก โลกเขาเจริญขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเดี๋ยวนี้เจริญมากนะ คำว่าเจริญๆ คิดว่าโบราณเจริญยิ่งกว่านี้ไง ไม่ใช่หรอก
ดูสิ สมัยหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ ตำราก็ขาดๆ เขินๆ นะ ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์อย่างนี้หรอก มันเริ่มตั้งแต่สมัย ร.๕ พยายามพิมพ์ตำรับตำราขึ้นมา แล้วก็เรียนตำรับตำราขึ้นมา เรามาตื่นโลกนะ แล้วเราก็เอาอันนี้มาเทียบเคียงไป
เวลาเราคิดถึงสมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน เราเห็นในสังคมอย่างนี้ เราก็คิดว่า พระพุทธเจ้าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่หรอก สังคมมันคนละยุค สังคมคนละยุคเลย ไม่มีเทคโนโลยีขนาดนี้ จะไม่มีเหมือนสมัยนี้เลย แต่ทุกข์ตัวเดียวกัน.. ทุกข์ตัวเดียวกัน.. ความบีบคั้นของใจเหมือนกัน มรรคญาณก็เหมือนกัน แต่สังคมแปรสภาพไปอย่างนี้เท่านั้น เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับสังคมโลกเขา
มองไปทางโลกแล้วมองมาทางเรา มองกลับมาในหน้าที่การงานของเรา มันจะภูมิอกภูมิใจในชีวิตไง เราเป็นคนที่เห็นภัยนะ เห็นภัยจากโลก ปลีกจากโลกมาแล้ว แล้วพอมาเป็นหน้าที่การงานของพระสงฆ์เรา เราจะต้องพยายามยึดมั่นถือมั่นของเราให้ได้ แล้วแยกแยะทำอะไรอย่าสะเพร่า อย่าสะเพร่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม ยังไม่เป็นผลก็เข้าใจว่าเป็นผล
กิเลสมันจะหลอกอย่างนี้ตลอดไป เพราะครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาจะรู้เลยว่า อย่างนี้อย่างนี้เป็นธรรมๆ มันสรุปให้เสร็จเลย พอจิตสงบมันสรุปให้เลย นี่เป็นธรรม ปล่อยวางอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ผลเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ กิเลสมันหลอกมาอย่างนี้ตลอดเลย เราถึงบอกว่าเวลาทำอะไรแล้วต้องตรวจสอบออกมา แล้วตรวจสอบไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เป็นความจริง
ของเรานะ ของถ้ามันสกปรก อย่างเช่น เราไปเหยียบขี้มา ตีนเราไปเหยียบขี้มามันจะติดกลิ่นมากับตีนเรานะ นี่ก็เหมือนถ้าใจมันมีอยู่ มันมีกลิ่นมันมีความเป็นไป มันต้องออก ถ้าเราตรวจสอบเรานะ ถ้าตรวจสอบผิด ผิดก็ไม่เป็นไร นี่ไงประสบการณ์ตรงไง เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี วิกฤตอุกฤษฏ์ขนาดไหนกับศาสดาต่างๆ ฝึกฝนมาตลอด
เราขนาดได้มีตำราตรงๆ อยู่นี่ มรรคญาณ ตู้พระไตรปิฎก วางต่อหน้านี้ ศึกษาได้ค้นได้หมดเลย ยิ่งค้นคว้าก็ยิ่งงง เปิดตู้พระไตรปิฎกในหัวใจของเราเอง แล้วออกมาแยกแยะเอง
เวลามันปล่อยวางมันเป็นไปอย่างไร มันก็ยังมีสภาวะโต้แย้งอย่างนี้เห็นไหม โต้แย้งอย่างนี้มันก็เหมือนกับว่า กิเลสเรามันหยาบ ขนาดว่าหยาบๆ อย่างนี้เรายังโดนมันหลอกเลย ยังโดนมันจูงจมูกไปขนาดนี้ไง อย่างนี้เราถึงผิดพลาดไป อย่างนี้ก็เป็นอำนาจวาสนา เพราะเป็นกรรมของเรา เพราะความเป็นไปจริตนิสัย ความชอบ ความเป็นไปของจิต ถ้ามันตรงจริตมันก็ย้อนกลับไปเป็นมรรคญาณของเรา
ถ้ามรรคญาณของเรา เห็นไหม ผิดพลาดขนาดไหนเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่นะ การเริ่มต้นใหม่ เห็นไหม ถ้าเราไม่เริ่มต้นใหม่นะมันจะไปเป็นชาติใหม่ มันจะตายไปแล้วตายเกิดตายเกิด
ถ้าทำความดีขึ้นมาขนาดไหน มันไปเกิดเป็นพรหมมันจะเป็นชาติใหม่ มันออกไป มันยิ่งยาวไกลเห็นไหม เราถึงจะย้อนกลับมาที่เราย้อนกลับมา ย้อนกลับมาถ้ามันผิดพลาด เริ่มต้นใหม่ ทำใหม่เพราะอะไร เพราะยังมีชีวิต ยังมีโอกาส ยังมีความเป็นไป เรายังสามารถคลี่คลายสภาวะของกิเลสออกจากใจได้
เพราะเหมือนกับคน เห็นไหม คนทำงานชำนาญการแล้ว แต่ทำแล้วงานนั้นยังไม่จบ ยังไม่เสร็จ เห็นไหม เราก็สามารถแก้ไขได้ เพราะมันมีความชำนาญ คือว่ามีสมาธิ มีปัญญา เคยแยกแยะ อย่าท้อแท้ อย่าน้อยใจ ต้องยกตัวเองว่าเรานี้เป็นคนที่มีโอกาสมากที่สุด เรามีโอกาสนะ
ดูสิ สังคมเขามีโอกาสแบบเราไหม เราสละมา กว่าจะสละมาจากโลกนะ เลือดซิบๆ นะ เพราะมันเจ็บใจ หัวใจมันเจ็บแสบนะ เพราะอะไร เพราะมันต้องพลัดพราก ความพลัดพรากจากโลกมาแล้วส่วนหนึ่ง แล้วเรามาปฏิบัติอย่างนี้ เราจะมานอนใจอยู่ได้อย่างไร
ถ้าเราไม่นอนใจเราพยายามค้นคว้าของเรา ผิดพลาดขนาดไหนก็แก้ไขไป แก้ไขไป มีโอกาสทั้งนั้น..มีโอกาสทั้งนั้นนะ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรม เห็นไหม
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย ต้องบรรลุธรรมได้ภายใน ๗ วัน ๗เดือน ๗ ปี แล้วของแค่นี้ทำไมเรามุมานะไม่ได้ เวลาในชีวิตเรามันลากเราไป เราไปได้ แล้วของแค่นี้เราทำไม่ได้หรือ
ถ้าเราทำได้เห็นไหม เวลาทุกข์มาเห็นไหม ไปหาครูบาอาจารย์ มีอะไรให้บอกมา มีอะไรให้บอกมา สมาธินี้พยายามทำขึ้นมาให้ได้ ขอให้มีคนบอกเถิด ถ้าในปัจจุบันนี้ปฏิบัติมาสิเราจะบอกเอง ถ้าผิดพลาดมา ปฏิบัติมาสิ ปฏิบัติมา
เวลาหาครูบาอาจารย์ไม่ได้ ให้ใครบอกมา หาให้ใครบอก บอกหน่อยๆ ทุกข์นักๆ บอกหน่อยๆ แล้วตอนนี้ให้มันผิดมาสิ ขอให้มันผิดหน่อยๆ ทำไมมันไม่มี ขอให้ผิดมา ขอให้ทำมา ปฏิบัติขึ้นมาเลย เพราะการปฏิบัติ เห็นไหม มันถึงสมควรต่อการปฏิบัติ
ดูสิ เวลาเราแสวงหากัน ขอให้นิสัยครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็มีสัทธิวิหาริกเห็นไหม สังคมสงฆ์มันก็เป็นสังคมที่ราบรื่นไป สังคมสงฆ์เราจึงลงอุโบสถกันไง เพื่ออะไร เพื่อความสำรวม เพื่อความสุขความสำรวมของหมู่สงฆ์เรา ต่อไปนี้จะลงอุโบสถ เอวัง